การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้ผ่านประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมนุษย์ตั้งแต่มนุษย์เริ่มต้นเดินทาง
บรรพบุรุษของเราได้สร้างการฝึกฝนในแบบที่ง่ายที่สุดจากการขับเคลื่อนความต้องการเพื่อความอยู่รอด
การเรียนรู้ครั้งแรกรวมถึงการสร้างเครื่องมือง่าย ๆ จากหิน ไม้ แต่ยังไม่รู้จักไฟ และเหล็ก การนำสิ่งเหล่านี้มา
ใช้ได้กลายเป็นการพัฒนาที่ก้าวไปอย่างสำคัญของมนุษย์
บริบทเริ่มแรกของการเรียนรู้ของมนุษย์ยุคแรกนี้ถูกจำกัดอยู่ภายในครอบครัว และเผ่าโดยผ่านกิจกรรมที่ไม่
เป็นทางการและการเลียนแบบจากหัวหน้าครอบครัวคือพ่อ และหัวหน้าเผ่า พ่อบ้านจะเป็นผู้ที่ฝึกลูกในเรื่องความ
ประพฤติที่เหมาะสม และฝึกในเรื่องการดำรงชีวิตที่เหมาะกับสภาพแวดล้อม ดังนั้นการเรียนรู้ในยุคแรกๆ นี้จึง
เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของคนรุ่นก่อน
เมื่อเข้าสู่ยุคโลหะ มนุษย์มีความสามารถที่จะตั้งถิ่นฐาน มีความรู้ที่จะทำเครื่องมือโลหะแบบง่ายๆ รวมทั้ง
ทำการเกษตร มีการแบ่งงานกันทำภายในชุมชนและภายในครอบครัว การแบ่งงานได้วิวัฒนาการกลายเป็นผู้ชำนาญ
การเช่น ช่างไม้ ช่างโลหะ เป็นต้น มนุษย์ในยุคนี้พึ่งพาเครื่องมือเพื่อสนองความต้องการขั้นพื้นฐานก็คือเพื่อความ
เป็นอยู่ เป็นความก้าวหน้าของมนุษย์ที่เกี่ยวพันกับการพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ และเกิดความจำเป็นในการร่วมมือ
กันเพื่อสร้างการเรียนรู้โดยตรง นั่นก็คือ การศึกษา มากยิ่งกว่าการเลียนแบบโดยไม่ตั้งใจ
การศึกษาในขั้นตอนแรกเป็นการถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอย่าง
มีเป้าหมาย เป็นการเลียนแบบความสำเร็จที่เกิดจากความเชี่ยวชาญเฉพาะที่ยังไม่มีระบบหรือทฤษฎีรองรับ จากการ
เลียนแบบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ได้กลายมาเป็นรูปแบบที่มีความแน่นอน
ในการเรียนรู้ในช่วงประวัติศาสตร์ยุคแรกของมนุษย์นี้ ได้ผ่านการพัฒนาจากการพยายามปรับตัวต่อสิ่ง
แวดล้อมทางกายภาพและสังคม โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางสังคม กล่าวคือ ผ่านการใช้อำนาจของผู้ชายในการใช้
เครื่องมือและในการยกระดับการศึกษาให้สูงขึ้นทีละขั้น
ยุคกรีก
มรดกสำคัญที่โรมันได้มอบไว้ให้กับโลกก็คือการสร้างสถาบันที่ทำหน้าที่จัดระเบียบทางสังคม แม้การ
ศึกษาของโรมันจะไม่ได้มีอิทธิพลเท่ากับกรีก โครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาและองค์การ เช่น โรงเรียนก็ได้ถูกสร้าง
ขึ้นภายใต้ระยะเวลาที่โรมเจริญอำนาจและเสื่อมถอย
ส่วนมรดกที่สำคัญของกรีกก็คือ ปรัชญาการศึกษา ไม่เหมือนกับวัฒนธรรมอื่น ตั้งแต่ยุคกรีกโบราณสอ
ดอสสร้างขึ้นภายใต้ระยะเวลาที่ฌรมคล้องกับความคิดปัจจุบัน การศึกษาแบบเสรีนิยมของกรีกเป็นการศึกษาแบบแรก
ที่เห็นความสำคัญของการศึกษาที่เป็นการเพิ่มโอกาสให้กับการพัฒนาปัจเจกชน
แนวการศึกษาแบบกรีกได้รวมเอามิติต่าง ๆ มากมายที่สำคัญต่อการพัฒนาปัจเจกบุคคลที่ยังคงทรงคุณค่า
แม้ในทุกวันนี้ การแสวงหาความรู้ของมนุษย์ในทุกขั้นตอนของชีวิต ธรรมชาติ มนุษย์ สิ่งเหนือธรรมชาติ มิติทาง
จริยธรรมที่เน้นในเรื่อง ศีลธรรม และความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล การศึกษาในเรื่องสุนทรีย์ศาสตร์ ก็เป็นสิ่งที่
ชาวกรีกได้คิดค้นขึ้น การศึกษาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ชาวกรีกให้ความสำคัญว่าเป็นเสมือนหนึ่งยาน
พาหนะเพื่อการพัฒนาปัจเจกบุคคลและความสำเร็จของบุคคล
แม้จะมีมุมมองที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา แต่ชาวกรีกก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนในทางการค้า
หรือในทางเครื่องมือเครื่องใช้ พวกเขาดูแคลนอาชีพที่ต่ำต้อยเช่น การเกษตร การเลี้ยงสัตว์ การทำรองเท้า ช่างตี
เหล็ก แม้โสกราตีสที่มีชื่อเสียงก็ยังดูแคลนอาชีพเหล่านี้ว่าเป็นงานที่มีความเสี่ยงต่อชีวิต งานเหล่านี้เป็นงานที่
สภาพเลวร้าย ไม่มีเวลาพักเพียงพอและเป็นงานที่ไม่พัฒนาทางจิตใจ ดังนั้นงานที่ทำด้วยทักษะมือจึงมิได้ถูกบรรจุ
ลงในหลักสูตรการศึกษาของชนชั้นสูง ทักษะนี้ได้ผ่านการสะสมโดยชนชั้นต่ำโดยงานก่อสร้าง การผลิต
การเกษตร ที่ได้สร้างความสำเร็จในประวัติศาสตร์อารยธรรมกรีกมา การฝึกฝนในทักษะดังกล่าวจึงมีความสำคัญ
อย่างยิ่งในการพัฒนาคนของกรีกแม้จะไม่ได้แรงสนับสนุนจากคนชั้นสูงก็ตาม
แม้อยู่ท่านกลางยุคทองของมรดกที่ล้ำค่า ชาวกรีกส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือสถาบัน
ที่จะให้คนส่วนใหญ่ของตนได้รับการศึกษา ชาวกรีกโบราณส่วนใหญ่ยังไม่มีอิสรภาพทางการศึกษายกเว้นคนเพียง
ส่วนน้อยเท่านั้น ความสำคัญของการศึกษาและการพัฒนาบุคคลได้อยู่ร่วมกันกับความเป็นจริงของการเป็นทาส
ยุคโรมัน
ชาวโรมันปรับปรุงความคิดของชาวกรีกโดยบูรณาการเข้าไปในวิถีชีวิตของตนเองผ่านการสร้างกฎหมาย
และสถาบัน ไม่เหมือนกับชาวกรีกที่ยึดถือมาตรฐานของศีลธรรมและความกลมกลืน ชาวโรมันเป็นนักปฏิบัติ
มากกว่าซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์และประสิทธิภาพ ชาวโรมันได้พยายามหาคำตอบว่ากฎหมายและ
โครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองใดที่เหมาะสมเพื่อบรรลุผลในการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมใน
ระยะยาวได้
การประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในด้านงานสาธารณะ สถาปัตยกรรม และการก่อสร้างถนน ท่อส่งน้ำนั้น
เป็นที่รู้จักกันดี แต่งานที่ทำด้วยมือและทักษะเกี่ยวกับเครื่องจักรที่ยังอยู่ขั้นปฐมได้ถูกทำให้มีค่าขึ้นโดยชาวโรมัน
เหมือนชาวกรีก ชาวโรมันเชื่อในแรงงานและพ่อค้าที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอาณาจักร ชาวโรมันได้เรียนรู้
ทักษะงานที่ใช้ฝีมือและได้รับการประเมินค่าว่าสูงผ่านการฝึกงานของครอบครัว พ่อชาวโรมันได้พัฒนาทักษะภาค
ปฏิบัติและถ่ายทอดให้แก่ลูกๆ ของพวกเขา
เหมือนอาณาจักรอื่นๆ อาณาจักรโรมันเมื่อได้บรรลุถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในที่สุดก็เริ่มเสื่อมลงด้วยความ
เกียจคร้านและนิยมวัตถุของชาวโรมันเอง ความแข็งแกร่งและเข้มแข็งแต่แรกค่อย ๆ หายไปจากการรุกรานของพวก
บาบาเรียนทางเหนือ การศึกษาที่จัดขึ้นในโบสถ์คริสเตียนยุคแรกค่อยๆ เข้าแทนที่การศึกษาแบบโรมทั้งสาระและ
ทัศนคติ อิทธิพลของศาสนาคริสต์ได้เติบโตขึ้นมาตลอดยุคกลาง
ยุคกลาง
ในยุคกลางเป้าหมายและวิธีการฝึกงานค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมามากมายในช่วงยาวของยุคกลางตั้งแต่ก่อนคริสต
ศักราชที่ 300 จนถึงยุคปี 1300 ในช่วงนี้ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ยุคกลางแรกและหลังจากนั้นด้วยเส้นแบ่งคือ
ปีที่ 800 เมื่อ ชารล์เลอมานได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิโรมัน
อิทธิพลของศาสนาคริสต์ได้ซึมเข้าสู่วิถีชีวิต แม้คำบัญชาที่ทำให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่เป็นทางการ
ของอาณาจักรระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 4 ก็ตาม แต่ศาสนาจักรได้เข้าควบคุมประชาชนโดยผ่านสถาบันทั้งหมด
ท่ามกลางความเสื่อมของอาณาจักรโรมและพวกบาบาเรียนที่ป่าเถื่อน จึงเป็นความจำเป็นในการสร้างโครงสร้างและ
ระบบศีลธรรมโดยศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์ยังได้รวบรวมชนชั้นล่างนอกรีตที่ได้ถูกละเลยโดยสังคมของโรมและ
กรีก
วัฒนธรรมกรีกโรมมันและการศึกษาได้ถูกแทนที่โดยการฝึกงานและพิธีกรรมแบบคริสต์ การฝึกฝนตามหลัก
ศาสนาและสำนึกทางด้านจิตใจได้เข้าแทนที่ความคิดที่สุนทรีย์และทางปัญญาของกรีก การฝึกฝนทางศีลธรรมที่เข้ม
งวดและวินัยได้เข้าแทนที่การนิยมวัตถุของโรม ภายใต้อิทธิพลของศริสต์ศาสนา การศึกษาของยุคนั้นถูกปรับปรุง
ใหม่ทั้งหมด
อิทธิพลของโรงเรียนนักบวช
ส่วนที่สำคัญของระเบียบและการสอนของคริสต์ศาสนาก็คือ คุณค่าด้านจิตใจของแรงงานของคน มันเป็น
ตัวอย่างของความกระตือรือร้นและระเบียบของชีวิตของนักบวชคริสเตียนยุคแรกๆ เนื่องจากพื้นฐานทางด้านความรู้
ได้ถูกทำให้ด้อยค่าลงในยุคกลาง ความสำคัญของการเรียนรู้วิชาการและการรักษาสิ่งโบราณได้ตกทอดมายัง
ศาสนาคริสต์อย่างสมบูรณ์
การเชื่อมกันของคุณค่าของแรงงานแบบคริสเตียนและบทบาทของศาสนาในฐานะที่เป็นผู้ปกป้องการเรียนรู้
ทางวิชาการได้ให้สิ่งแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าต่อแรงงานฝีมือและการฝึกฝนศิลปะ มีการแบ่งอย่าง
ชัดเจนระหว่างศาสนาจักรจากอาณาจักร พวกเขาได้จัดให้มีหน่วยทางการเกษตรและอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่
สามารถพึ่งพาตัวเองได้ เช่น สวน เหมืองแร่ ขนมปัง ร้านเพื่อการก่อสร้างการบำรุงรักษา บาทหลวงและสังฆราชที่
เชี่ยวชาญในการค้าเหล่านี้เป็นผู้บริหารศาสนาจักรและได้ให้การฝึกฝนทางการเกษตร ศิลปประยุกต์ หัตถกรรมและ
การก่อสร้างที่หลากหลายและทักษะด้านเครื่องจักร การเรียนรู้ด้านปฏิบัติที่เกิดขึ้นในเวลานั้นเป็นส่วนสำคัญของ
ชีวิตของนักบวช
ศาสนายังเป็นศูนย์กลางของชีวิตไม่ว่าในทางสติปัญญาและทางวรรณกรรมและศิลปะตลอดยุคกลาง
คนทั้งหมดที่เข้าไปมีส่วนร่วมได้รับการสอนพื้นฐานทางด้านการอ่านเขียน นักบวชทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
ในการเขียนตำรา พัฒนาทักษะศิลปะวาดภาพ เพลง และปฎิมากรรม ดังนั้นทักษะการเขียนและการทำตำราจึงถูก
รักษาให้สูงส่ง การฝึกฝนทางปัญญาและศิลปะก็มีความสำคัญในชีวิตของนักบวชด้วย
นอกเหนือจากการมีส่วนร่วมของศาสนาจักรในด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานก็คือ การสร้างมาตรฐานการเรียน
รู้ทักษะใหม่และการปรับปรุงสถานะทางเศรษฐกิจของบุคคล เนื่องจากงานหัตถกรรมและการค้าได้แตกแขนงออก
และมีลักษณะเฉพาะตัวมาขึ้น การฝึกงานยังคงดำเนินการต่อไปในฐานะที่เป็นเป็นรูปแบบหลักในการถ่ายถอดความ
ชำนาญด้านปฏิบัติและด้านเทคนิคจากผู้มีประสบการณ์ไปสู่ลูกศิษย์
แหล่งที่มา: โดย ผศ.ดร.บุญยง ชื่นสุวิมล